Social Media And Web 2 0

Social Media
social_media2.jpg


+แทรกคลิป Social media in plain english (CommonCraft)

Social หมายถึง สังคม(ออนไลน์) Media หมายถึง เนื้อหา เรื่องราว
ดังนั้น Social Media ก็คือเนื้อหา เรื่องราวบนสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานเป็นผู้สื่อสารหรือเขียนเล่าแล้วนำมาแบ่งปัน
ให้กับผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่าย ผ่านทาง Social Network โดยการสื่อสารแบบนี้จะทำผ่านทางInternetและโทรศัพท์
มือถือเท่านั้น

Web 1.0 vs Web 2.0

การใช้งาน Internet ในอดีตนั้นเป็นแบบ Web 1.0 คือการใช้ข้อมูลด้านเดียว เว็บ 1 เว็บจะมีผู้ใช้ 1 คนคือ web master หรือผู้สร้างเว็บเป็นผู้ให้ข้อมูล
และ ผู้เข้าชมเว็บเป็นผู้รับข้อมูล เช่นการรับ-ส่ง E-Mail, Chat Room, ดาวน์โหลดภาพและเสียง หรือใช้ Search Engine เพื่อหาข้อมูล
รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือ Web board

ความหมายของ Web 2.0 คือ Social network ที่เน้นการแบ่งปันในสิ่งที่แต่ละคนมี
Web 2.0 เป็นระยะที่สองของสถาปัตยกรรมและการพัฒนา Web Application เป็นยุคที่สองของให้บริการบนอินเทอร์เน็ต
และเกิดเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานเข้ามามีส่วนร่วมเป็นจำนวนมาก

การเกิดขึ้นของ Web 2.0 ได้ทำให้รูปแบบการนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น

- Wikipedia สารานุกรมออนไลน์
- Weblog Wordpress.com Blogger.com หรือของไทยที่ Bloggang.com ที่มี blog จำนวนเกือบห้าแสน blog แล้ว
- Podcast จัดรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ของตัวเองได้เลย ได้รับความนิยมมากขึ้นจากยอดขายเครื่องเล่น mp3 แบบพกพาที่มากขึ้น
- Media Sharing Youtube.com, Flickr.com
- Social Network Hi5, Twitter
- อื่น ๆ Sourceforge.org , Google Maps , Google Earth

Web 3.0 in the future (ถ้าหาได้)

web1to3zf1.jpg
แนวคิดพื้นฐานของ Web 3.0
1. Knowledge Domains เป็นการกำหนดขอบเขตขององค์ความรู้ต่าง ๆ ในหลาย ๆ ด้าน สามารถกำหนดเป็นโดเมนย่อยๆ ภายใต้โดเมนใหญ่ เพื่อแยกข้อมูลออกมาให้ชัดเจน เหมือนแบ่งกลุ่มของ Web ให้ชัดเจน และอธิบายความหมายของ Web ให้ถูกต้อง
2. Information vs Knowledge ซึ่ง Knowledge คือ ฐานความรู้ที่เกิดจากการรวมกันของข้อมูล (Information) จำนวนมากๆ และมีการกลั่นกรองข้อมูล เพื่อให้มีเนื้อหาที่กระชับ และมีศูนย์ความรู้มากขึ้น
3. Ontology เป็นการกำหนดโดเมนหรือขอบเขตหนึ่ง ๆ ที่เรารู้อยู่แล้ว แต่อาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด Ontology เป็น Meta-Information หรือเรียกว่า Information about Information คือ ข้อมูลที่สามารถอธิบายข้อมูลได้ ในเนื้อหาของ Semantic Web จะถูกเข้ารหัส และใช้ภาษาที่จัดการออนโทโลยี ซึ่งข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน
4. Inference Engine เป็นโปรแกรมที่เป็น engine หนึ่ง โดยเริ่มจากการถามตอบจาก Knowledge base ซึ่งเป็นสมองหลักของระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) โดยใช้เหตุผลต่าง ๆ มาสนับสนุนข้อมูลใน Knowledge base สำหรับกำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งใน Web 3.0 Inference Engine จะทำการรวมหลักการใหม่ ๆ จาก AI (Artificial Intelligence) ซึ่งนำมารวบกับโดเมนในออนโทโลยีที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งสามารถสร้างตามระเบียบ หรือไม่ตามกฎระเบียบก็ได้ เช่น Wikipedia เป็นต้น
5. Info Agents ในแต่ละโดเมนของออนโทโลยี จะมี Inference Agent หลาย ๆ ตัว ทำงานร่วมกัน โดยการแชร์ออนโทโลยีของขอบเขตของตนเอง และร่วมกันให้คำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งการร่วมมือของ Agent ต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งสร้างจาก Inference Engine แต่ยังสามารถทำงานร่วมกันได้
6. Proofs and Answers การใช้ Info Agents อาจไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้รับจะถูกต้องหรือตรงกับที่เราต้องการหรือไหม ซึ่ง Web 3.0 จะมีการสร้างข้อมูล หรือคำถามที่ถูกรวบรวมจากคำตอบที่มีการตรวจสอบ ซึ่งจะถูกเรียนรู้และเก็บไว้ โดยที่ Info Agents จะวิเคราะห์คำถาม แล้วนำมาตอบ ตัวอย่างเช่น Wikipedia 3.0 ซึ่งการได้คำตอบเหล่านี้มานั้น ใช้หลักการของ Ontology ซึ่งคำตอบที่ได้อาจเป็นคำตอบที่ถูกที่สุด หรือคำตอบที่สร้างให้เป็นทางเลือก โดยให้ผู้ใช้พิจารณาเอง

เปรียบเทียบ Web 1.0 2.0 และ 3.0
Web 1.0 = Read Only, Static Data with simple markup
Web 2.0 = Read/Write, Dynamic Data through Web Services
Web 3.0 = Read/Write/Relate, Data with structured Metadata + managed identity

The rise of Social Media

masssocialmedia.png

"You" Era

Six Degree of Separation Theory

สามารถสรุปสั้นๆได้ว่า
“ไม่ว่าเราจะเป็นใคร อยู่ส่วนไหนของโลก ถ้าต้องการสื่อสารกับใครสักคนบนโลกใบนี้ …
เราสามารถไปถึงได้ภายในการเชื่อมโยงเพียงไม่เกิน 6 ทอดเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่ง คนที่เราเคยรู้จัก อาจกลับมาพบกันได้อีกครั้งภายในการเชื่อมโยงไม่เกิน 6 ทอดเช่นกัน”

มีการทดลองบางอย่างในมหาวิทยาลัย Harvard ทำการทดลองโดยการส่งจดหมายให้ทุกคนในเครือข่ายที่รู้จักในจดหมายก็ระบุว่าให้คนที่รับจดหมายส่งจดหมายไปยังทุกคนที่รู้จักและเข้าทำการแบ่งความสัมพันธ์ ในอเมริกาเมื่อประมาณเกือบร้อยปีที่แล้ว และสามารถที่จะเชื่อมทุกคนได้ทั้งทั่วอเมริกาว่า ทุกคนในอเมริกาจะห่างกันไม่เกินช่วง 6 ความสัมพันธ์
มีการทดลองใน face book ชื่อ six degree of separation การทดลองบน facebook มองว่าความจริง ณ วันนี้เราจะอยู่ ณ ช่วงความสัมพันธ์ 2-3 ความสัมพันธ์ด้วยกัน เพราะว่าคนเนื่องจากการติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายขึ้น และความสันพันธ์จะมองเห็นได้ชัดขึ้น

Network Effect

เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่อธิบาย Social media คือคุณค่าของระบบเครือข่ายขึ้นอยู่กับสมาชิกที่ไปต่อ ยิ่งสมาชิกที่เพิ่ม value ของมันก็สูงขึ้น หลายคนที่เปลี่ยนจาก Hi-5 มาเป็น face book เพราะคนในเครือข่ายเปลี่ยนจาก hi-5 มาใช้ face book หลายคนทำไมคนถึงเลือกใช้ u-tube เพราะว่า u-tube เป็นระบบที่มีคนใช้มากกว่าในเครือข่ายอื่น

Social Network Theory

ระบุว่าอำนาจการต่อรองของคนขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่เรามี ตัวอย่างเช่นในเมืองไทย know who สำคัญกว่า know how คนเก่งไม่ได้สำคัญมากกว่าคนที่มีเครือข่ายเยอะ ต่อให้เก่งยังไงเราก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ถ้าเราไม่มีเครือข่าย

Strong Ties vs Weak Ties

ความสัมพันธ์ในปัจจุบันแบ่งได้ออกเป็น 2 ความสัมพันธ์ weak ties กับ strong ties weak ties คือความสัมพันธ์แบบหลวมๆๆ strong ties คือความสัมพันธ์แบบแน่นแฟ้น ตัวอย่างของความสัมพันธ์ของ strong tiesเช่น พี่น้องในครอบครัว ระหว่าเพื่อนสนิท จะเป็นความสันพันธ์ที่เรามีได้จำนวนน้อย เป็นความสันพันธ์ที่เราต้องติดต่อกันอยู่ตลอดเวลามีการติดต่อสื่อสารกันบ่อย มีการวิจัยว่าเราไม่สามารถมีเพื่อนสนิทในเวลาเดียวกันมากว่า 150 คนเพราะว่าเราต้องมีการติดต่อสื่อสารกันตลอดและบ่อย ความสันพันธ์แบบ weak ties เป็นความสัมพันธ์ที่เรียกว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน รู้จักแบบผิวเผิน เช่น อาจารย์กับนักศึกษารู้จักแค่ว่าเราชื่ออะไร เราเป็นนักศึกษา เราทำงานที่ไหน ไม่ได้รู้จัดกันดี ในความสัมพันธ์แบบ weak ties เราสามารถมีได้จำนวนเยอะ ตัวอย่างเช่นเวลาเราไปประชุมเรามีการแนบนามบัตรกัน ถามว่าความสัมพันธ์แบบไหนikหลากหลายที่มากกว่า ซึ่งต่างกับ strong ties ที่เป็นเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง เพื่อนร่วมชั้นเรียน weak ties มันค่อนข้างที่จะยากที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ตัวอย่างเวลาอาจารย์ขึ้นเครื่องแล้วคุยกับลูกเรือแล้วถูกใจแล้วถามชื่อ ขอเบอร์ ในอดีตค่อนข้างยากที่จะรักษาความสัมพันธ์แบบ weak ties ได้เพระว่าเราไม่มีช้องทางในการติดต่อสื่อสาร อย่างการใช้โทรศัพท์ค่อนข้าง personal ไปหน่อย โดยหลักปัจจุบันมันเปลี่ยนแปลงไปเรามี face book เรามี twitter เราสามารถที่จะสร้างช่องทางที่ไม่เป็นทางการหรือมันไม่รุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล ผมจะเห็นได้ว่า weak ties มีประโยชน์มากในการทำธุรกิจในปัจจุบันเพราะว่าผมเชื่อว่าในรุ่นเราที่เข้ามาเรียน MBA เพื่อที่จะเขามาสร้าง network บ้างคนจะนำไปสู่โอกาสในการหางาน ซึ่งความสำพันธ์เหล่านี้ในอดีตทำได้ยาก แต่ในปัจจุบันเรามีเครื่องมือใน social media ตัวอย่างเช่นผมมีเพื่อนอยู่ 700 คนใน face book และถามว่ามีร้านอาหารอะไรอร่อยอยู่ในแถบนี้แล้วมีเค้าเข้ามาตอบกันเยอะเลยนี่คือประโยชน์ตัวอย่างหนึ่งของ weak ties ความสำพันธ์แบบ weak ties นำไปสู่ในเรื่องของการประสารงาน การช่วยเหลือกัน

Media Richness Theory

สื่อในปัจจุบันนี้เป็น Media richness theory ความมีประสิทธิภาพของสื่อมัยขึ้นอยู่กับตัวสื่อด้วยก็คือว่าสื่อที่มีประสิทธิภาพต่ำคือที่เป็น text เป็น mail สื่อที่มีประสิทธิภาพสูงคือสื่อที่ต้องมีรายละเอียดของข้อมูลต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ face to face ในปัจจุบันในรูปแบบของ social media ก็สามารถสนับสนุนให้ความมีประสิทธิภาพของข้อความหรือว่าของสื่อสูงขึ้นเนื่องจากว่ามันมีการนำเอาเครื่องมืออย่าง multimedia เข้ามาใช้มากขึ้น
• อีกอันหนึ่งค่อนข้างสำคัญกับ social media คือ long tail แต่คราวนั้นผมพูด long tail ในหัวข้อ ecommerce ในเรื่องของสินค้าที่ว่าสินค้าบน ecommerce สามารถ explain ได้โดยไม่มีขีดจำกัดในด้านของพื้นที่หรือสถานที่ แต่ long tail ณ ตอนนี้เราหมายถึงข้อมูล ข้อมูลในอดีตในเว็บ 110 เป็น main stream ข้อมูลก็อย่างเช่น ข่าวต่างๆที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในปัจจุบันในเรื่องของ social media ความหลายหลายขอข้อมูลนำไปสู่ long tail มากขึ้นจะเห็นได้ว่า วีดีโอบน u-tube ที่เราไปดูมีความแตกต่างจากสีดีโอทั่วไปหรือว่าหนังจากช่อง 3,5,7,9 นี่คือตัวอย่างของ mainstream

Purchasing Funnel

มันมีอีกทฤษฎีที่มีบทบาทบน social media คือ Purchasing Funnel อธิบายว่าในการตัดสินใจว่าในการที่ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อสินค้า ตัดสินใจจะซื้อสินค้ามันจะต้องมีลำดับขั้นตอนในการตัดสินใจอย่างแรกสุดจะต้องมีขั้นตอนของการรับรู้ก่อน รับรู้ในตัวสินค้า อย่าที่สองต้องมีความสนใจเกิดขึ้น อย่างที่สามต้องมีการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียงว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ส่วนตัวสุดท้ายคือการตัดสินใจซื้อ social media มีบทบาทมากโดยเฉพาะสามขั้นตอนแรก ตัวอย่างเช่น อาจารย์ไม่ชอบดูหนังไทย แล้วคนบน twitter พูดถึงหนังเรื่อง กวนมึนโฮ ว่าหนังเรื่องนี้ดีนะพอได้รับ twit มาว่าดีเพราะว่าได้รับการ twit มาจากเพื่อนที่น่าเชื่อถือได้ อันนี้คือผมเกิดการรับรู้แล้ว(awareness) พอเกิดการรับรูแล้วก็เริ่มเกิดความสนใจ ผมไปเช็คตัวอย่างหนังเรื่องนี้บน u-tube นอกจากนั้นเข้าไปดูที่ face book page ของ GTH ซึ่งจะเห็นได้ว่า social media เข้ามาเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการตลาด