การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง
flickr:5634293282
flickr:5633711699

การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมเป็นวิธีที่ใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะรุนแรง ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง เมื่อกล่าวถึงการผ่าตัด ผู้ป่วยมักเกิดอาการหวาดกลัวกับความเชื่อเดิม ๆ เช่น ผ่าแล้ว ไม่สามารถเดินได้ หรือไม่สามารถงอเข่าได้เหมือนคนปกติ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างแพง นอกจากนี้ มีอีกหนึ่งปัจจัยที่ศัลยแพทย์และผู้ป่วยต้องคำนึงถึง นั่นคือ อายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม เพราะคงไม่มีผู้ป่วยคนไหน อยากเข้ารับการผ่าตัดอีกในระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ วงการแพทย์ จึงให้ความสำคัญกับอายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม ว่าจะสามารถอยู่กับผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการผ่าตัดได้ยาวนานที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดแก้ไข หรือเปลี่ยนข้อเข่าเทียมให้กับผู้ป่วยอีกครั้ง

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Arthroplasty; TKA) เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อมในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถ ประสบความสำเร็จได้โดยวิธีการรักษาอื่นแล้ว โดยแพทย์จะนำผิวกระดูกอ่อน (cartilage) ที่เสื่อมสภาพแล้วออก หลังจากนั้นจะนำข้อเข่าเทียมซึ่งทำมาจากโลหะ และโพลีเอททิลีน (polyethylene) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยเฉพาะมาใส่แทนที่ แล้วยึดด้วยซีเมนต์พิเศษ ร่วมกับการจัดแกนขา (alignment) ให้ถูกต้อง ทำให้ภายหลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยจะสามารถเคลื่อนไหวข้อเข่า ได้เป็นธรรมชาติและเดินลงน้ำหนักได้โดยปราศจากความเจ็บปวด
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์มาช่วยผ่าตัด (Computer-Assisted Surgery-Total Knee Arthroplasty; CAS-TKA) เพื่อหวังผลในแง่การวางตำแหน่งข้อเทียมได้แม่นยำขึ้น, ลดปริมาณการเสียเลือดจากการผ่าตัด รวมทั้งลดโอกาสเกิด fat embolism ลง แต่ก็มีข้อถกเถียงกันในเรื่องของเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด (operative time) ที่นานขึ้น, ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และจำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ของแพทย์ (learning curve)
คุณสมบัติที่โดดเด่นของคอมพิวเตอร์ช่วยการผ่าตัดข้อเข่าเทียม (CAS)
1. ยืดอายุการใช้งานยาวนานที่สุด
2. มีประสิทธิภาพและได้ผลดีที่สุด
การผ่าตัดข้อเข่าเทียมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
การผ่าตัดข้อเข่าเทียม (Total Knee Arthroplasty) คือ การผ่าตัดที่ใช้ในการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง โดยการนำผิวข้อเข่าที่เสื่อมออกไป และทดแทนด้วยผิวข้อเข่าเทียม ได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับอย่างมาก เนื่องจากการรักษาได้ผลดีเยี่ยม และจัดว่าเป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีที่สุดอย่างหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดผิวข้อเข่าเทียมถึงปีละ 2-3 แสนราย จึงมีความพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพการผ่าตัดใหดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งที่มีความพยายามในการหาวิธีแก้ไข คือ ผิวข้อเข่าเทียมอาจมีการสึกหรอ การผ่าตัดผิวข้อเทียมจะมีอายุการใช้งานและต้องทำการผ่าตัดแก้ไขใหม่ ซึ่งทำได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสูง
ดังนั้นจึงแนะนำให้ทำการผ่าตัดเฉพาะในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบัน ความคาดหวังของผู้ป่วยมีมากขึ้น ไม่เพียงแต่จะทำให้หายทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากภาวะข้อเข่าเสื่อมเดินได้ แต่ยังต้องการให้การผ่าตัดนั้นสามารถใช้งานได้ตลอดโดยไม่ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขอีก ในอดีต ความคาดหวังที่จะมีอายุการใช้งานได้เพียง 5-10 ปี แต่ปัจจุบันต้องการให้มีอายุการใช้งานได้ 15-20 ปี หรืออาจถึง 30 ปี และสามารถทำการผ่าตัดผิวข้อเข่าเทียมในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงได้
สาเหตุสำคัญที่มีผลต่ออายุการใช้งานของผิวข้อเข่าเทียม มีหลายปัจจัย และที่สำคัญที่สุด คือการวางตำแหน่งผิวข้อเข่าเทียมได้อย่างถูกต้อง จัดความสมดุลของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นบริเวณรอบข้อให้เหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด จากการศึกษาพบว่าแม้แพทย์ที่มีความชำนาญแล้ว ก็เกิดคลาดเคลื่อนในการวางตำแหน่งของผิวข้อเข่าได้ มีผลทำให้อายุการใช้งานน้อยลง โดยเฉพาะแพทย์ที่มีความชำนาญน้อย ความผิดพลาดและความคลาดเคลื่อนดังกล่าวก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาโดยนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้ข้อมูลแก่แพทย์ระหว่างทำการผ่าตัด มีความแม่นยำสูงสุด เพื่อให้มีอายุการใช้งานนานที่สุด
การผ่าตัดโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์คืออะไร
หลักการผ่าตัดโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการผ่าตัด (Computer Assisted Surgery) หรือเรียกว่า CAS คือการนำระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการสร้างภาพ 3 มิติของบริเวณข้อเข่าที่จะผ่าตัด โดยการป้อนข้อมูลให้แก่คอมพิวเตอร์ในขณะทำการผ่าตัดให้ได้ภาพ Digital model ที่มีลักษณะเฉพาะเหมือนผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันได้ในผู้ป่วแต่ละรายโดยไม่ต้องพึ่งเอกซเรย์ หรือ CT scan ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องโดนรังสีเอกซเรย์โดยไม่จำเป็น ภาพที่ได้จะมีการเคลื่อนไหวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของข้อเข่าตามจริงตลอดเวลา โดยอาศัยเทคโนโลยีการส่งข้อมูลจากบริเวณข้อเข่าผู้ป่วยไปยังระบบคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบอินฟราเรด
ระบบคอมพิวเตอร์จะมี software ช่วยประมวลข้อมูลที่ได้รับในการสร้างภาพตามจริงตลอดเวลา โดยมีความละเอียดถึง 0.1 มิลลิเมตร และ 0.1 องศา ดังนั้น แพทย์จะสามารถได้ข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อช่วยในการตัดสินใจระหว่างทำการผ่าตัด ตลอดจนสามารถตรวจสอบความถูกต้องและแม่นยำได้ทันทีในขณะทำการผ่าตัด หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น สามารถทำการแก้ไขได้ทันที ซึ่งต่างจากเทคนิคการผ่าตัดที่ใช้ทั่วไป ที่จะต้องรอประเมินโดยใช้เอกซเรย์หลังผ่าตัด หากพบว่ามีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น จะทำการแก้ไขได้ยากเพราะต้องผ่าตัดใหม่ เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น และเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ดังนั้นแม้จะพบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็มักจะต้องยอมรับกับสภาพดังกล่าว ทำให้มีผลทั้งอายุการใช้งานของผิวข้อเข่าเทียม และการใช้งานหลังการผ่าตัด
การวางตำแหน่งผิวข้อเข่าเทียม มีความสำคัญอย่างไร
แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เปรียบเสมือนช่างก่อสร้างบ้าน หากต้องการให้ได้บ้านที่มีความมั่นคงแข็งแรง และสามารถใช้งานได้นาน ช่างจำเป็นจะต้องจัดวางตำแหน่งเสาที่รับน้ำหนักของบ้านได้อย่างถูกต้อง แต่หากช่างผู้ทำการก่องสร้างตั้งเสาบ้านเอียง อาจจะทรุดหรือล้มได้ ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญและความละเอียดของช่างผู้ทำการก่อสร้าง ตลอดจนต้องมีอุปกรณ์ช่วยในการก่อสร้างที่เหมาะสม การผ่าตัดผิวข้อเข่าเทียมก็เช่นเดียวกัน แพทย์จะต้องมีการตัดเอาผิวข้อเข่าที่เสื่อมแล้วออก และแต่งผิวกระดูกดังกล่าวเพื่อเตรียมวางผิวข้อเทียม หากแพทย์สามารถวางตำแหน่งผิวข้อเทียมได้อย่างถูกต้อง (Proper rotational alignment of prosthetic component) ก็จะช่วยให้มีอายุได้นานที่สุด
มีการศึกษาพิสูจน์ชัดเจนว่าการวางตำแหน่งผิวข้อเข่าไม่ถูกต้อง (Malalignment) จะทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการใช้งานข้อเข่า ทำให้เกิดอาการปวด ใช้งานได้ไม่ดี เกิดการสึกหรอของผิวข้อเข่าเทียมเร็วกว่าปกติ (accelerated wear) เกิดการหลวมของผิวข้อเข่าเทียม (Component loosening) มีผู้ศึกษาพบว่าความคลาดเคลื่อนของตำแหน่งผิวข้อเข่าเทียมไปเพียง 3 องศา จะทำให้เพิ่มโอกาสการเกิดปัญหาการหลวมของข้อเทียมจาก 3 % ใน 8 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 24% ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขใหม่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดผิวข้อเข่าเทียมทุกท่านจึงให้ความสำคัญมากในการวางตำแหน่งของผิวข้อเข่าเทียม

History of Computer-Assisted Surgery
การผ่าตัดโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยผ่าตัดเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในการผ่าตัดทางสมอง(Neurosurgery) เมื่อปี ค.ศ. 19801 หลังจากนั้นในราว ค.ศ. 1990 จึงมีการใช้ในการผ่าตัดทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ (Orthopedics Surgery)2 โดยเริ่มจากการผ่าตัดกระดูกสันหลัง (spine surgery) หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มใช้ในการผ่าตัดข้อสะโพก (hip surgery) และข้อเข่า (knee surgery) ตามลำดับ โดยในยุคเริ่มต้นนั้นเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-assisted TKA) แต่เนื่องจากความใหญ่โตและซับซ้อนของหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดทำให้ไม่ได้รับความนิยม จนกระทั่งในช่วง 10 ปีหลังที่ผ่านมาการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยผ่าในรูปแบบของคอมพิวเตอร์นำร่อง (Computer-Navigated TKA) ที่มีขนาดและความซับซ้อนน้อยลงรวมถึงแพทย์มีส่วนร่วมในการผ่าตัดมากขึ้นจึงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง
The Rationale for Computer-Assisted Total Knee Arthroplasty
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยวิธีมาตรฐานดั้งเดิม (Standard Total Knee Arthroplasty) เป็นการผ่าตัดที่ทำกันมานานกว่า 30-40 ปี โดยที่ผลของการผ่าตัดก็ดีเป็นที่น่าพอใจ มีอัตราความสำเร็จ 90-95% ที่ 10-15 ปี3-5 อย่างไรก็ตามสาเหตุหลักที่ทำให้อายุการใช้งานของข้อเข่าเทียมสั้นลงคือความผิดพลาดจากการวางตำแหน่งข้อเทียม (alignment errors and malposition of implants) โดย Fehring และคณะ6 พบว่าการวางตำแหน่งข้อเทียมผิดพลาดที่ทำให้แกนขา (alignment) ผิดไปจากปกติมากกว่า 3 องศา จะมีผลทำให้ข้อเทียมหลุดหลวม (loosening) ถึง 24% ภายใน 3 ปี และแพทย์ที่ใช้เครื่องมือปกติ (conventional instrument, mechanical alignment system) ในการทำผ่าตัดมีอัตราความผิดพลาดที่ทำให้แกนขาผิดไปจากปกติมากกว่า 3 องศาถึง 10%7 ดังนั้นจึงมีความพยายามในการเพิ่มความสำเร็จและลดความผิดพลาดของการผ่าตัดโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยผ่าตัด8-13 นอกจากนี้แล้วเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเจาะโพรงกระดูกต้นขาเพื่อใส่เครื่องมือช่วยตัดเหมือนการผ่าตัดแบบมาตรฐานจึงลดปริมาณการเสียเลือด14 รวมทั้งลดโอกาสเกิด fat embolism ลง15-16
Classification and Characteristics of Computer-Assisted Total Knee Arthroplasty
Picard et al.17 แบ่ง classification ของ CAS-TKA ตามความมากน้อยในการมีส่วนร่วมผ่าตัดของแพทย์ออกเป็น แบบที่แพทย์มีส่วนร่วมในการผ่าตัดน้อย (Active system), ปานกลาง (Semiactive system) และมาก (Passive system) แล้วแบ่งตามวิธีการนำข้อมูลภาพ (Image) เข้ามาใช้ ออกเป็นแบบต้องมีข้อมูลภาพก่อนทำผ่าตัด (Pre-operative image; CT scan ), แบบต้องมีข้อมูลภาพระหว่างที่ทำผ่าตัด(Intra-operative image; Fluoroscopy) และ แบบที่ไม่ต้องมีข้อมูลภาพเลยแต่อาศัยจากข้อมูลที่รวบรวมไว้เป็นจำนวนมากใน software ของคอมพิวเตอร์(Image-Free) ทำให้เกิดระบบขึ้นทั้งหมด 9 ระบบ (3×3) ดังตารางที่ 1 โดยแบบที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือ Passive system ร่วมกับ Image-Free หรือ “Image-Free Navigation system” (Computer-Navigated TKA) นั่นเอง

cell-content Preoperative image Intraoperative image Image Free
Active Active robot Non Develop
Semi-active Active constrained robot Non Develop
Passive CT-based navigation Fluoroscope- based navigation Image-Free navigation

ตารางที่ 1 Classification ของ CAS-TKA17
Technical Steps of Computer-Assisted Total Knee Arthroplasty
ถึงแม้ว่าเทคนิคของ CAS-TKA จะดูซับซ้อน ทั้งนี้เนื่องมาจากเป็นการผ่าตัดวิธีใหม่ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ของแพทย์ (learning curve) พอสมควร อย่างไรก็ตามขั้นตอนหลักในการผ่าตัดสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นด้วยกัน18 คือ

1. Data (Image) acquisition คือการนำข้อมูลภาพเข้ามาใช้ ซึ่งมีอยู่ 3 วิธี
1.1 Pre-operative image โดยได้จากการทำ CT scan เข่าผู้ป่วยก่อนทำผ่าตัด
1.2 Intra-operative image โดยได้จากการทำ Fluoroscope เข่าผู้ป่วยขณะทำผ่าตัด
1.3 Image-Free โดยอาศัยข้อมูลภาพที่เก็บรวบรวมข้อมูลไว้เป็นจำนวนมากใน software ของคอมพิวเตอร์
2. Registration หมายถึงการเชื่อมโยงข้อมูลภาพกับตำแหน่งทางกายวิภาคจริงของผู้ป่วยขณะทำ ผ่าตัดให้ตรงกัน ในกรณีเป็นแบบ Image-Free Navigation คอมพิวเตอร์จะกำหนดให้ แพทย์เลือกตำแหน่งบนกระดูกของผู้ป่วยหลายๆตำแหน่งให้ตรงกับที่คอมพิวเตอร์ ต้องการ หลังจากนั้น คอมพิวเตอร์จะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลกับข้อมูลภาพที่เก็บ รวบรวมไว้เป็นจำนวนมากใน software แล้วสร้างเป็นภาพขึ้นมา
3. Tracking หมายถึงการเชื่อมโยงตำแหน่งทางกายวิภาคจริงของผู้ป่วยขณะทำผ่าตัด กับเครื่องมือที่ใช้ในการทำผ่าตัด (เช่น guides, saw, jigs) แบบ real-time โดยอาศัย Tracker ซึ่งมี 2 แบบคือ
3.1 Optical Tracking System ใช้ Infrared light ซึ่งเป็นแบบที่มีผู้นิยมใช้แพร่หลายกว่า แต่มีข้อเสียคือห้ามมีการบังแสง infrared ในขณะทำผ่าตัดจะทำให้การเชื่อมโยงหยุดชะงักได้ (ภาพที่ 1)
3.2 Electromagnetic Tracking System ใช้ Electromagnetic field ที่ปล่อยจาก Emitter มีข้อดีคือไม่มีปัญหาของการบังแสงในขณะทำผ่าตัด แต่มีปัญหาหารบกวนสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากวัสดุพวก ferromagnetic (ภาพที่ 2)

flickr:5633711747

ภาพที่ 1 Optical Tracking Systems แสง infrared ที่ส่งออกมาจะเชื่อมโยงตำแหน่งทางกายวิภาคจริง ของผู้ป่วยขณะทำผ่าตัดกับเครื่องมือที่ใช้ผ่าตัดแบบ real-time โดยอาศัย Tracker ที่ติดอยู่บนกระดูก femur และ tibia สร้างภาพให้เห็นที่จอ monitor

flickr:5633711779
flickr:5634293478

ภาพที่ 2 Electromagnetic Tracking Systemsสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งมาจาก Emitterเชื่อมโยงตำแหน่งทางกายวิภาคจริงของผู้ป่วยขณะทำผ่าตัดกับเครื่องมือที่ใช้ผ่าตัดแบบ real-time โดยอาศัย Tracker ที่ติดอยู่บนกระดูก femur และ tibia สร้างภาพให้เห็นที่จอ monitor
4. Intraoperative measurement and feedback หมายถึงคอมพิวเตอร์เปิดโอกาสให้แพทย์ลองกำหนดแนวตัดบนกระดูกของผู้ป่วยขณะทำผ่าตัดและปรับแก้เพื่อให้ได้ความหนาของกระดูก, มุมองศา (Valgus-Varus) รวมถึงมุมก้มเงย (Flexion-Extension) ที่ถูกต้องก่อนที่จะตัดกระดูกจริง (ภาพที่ 3)

flickr:5634293526
flickr:5633711915

ภาพที่ 3 ภาพที่ได้จากจอมอนิเตอร์แสดงแนวตัดบนกระดูกของผู้ป่วยขณะทำผ่าตัดซึ่งสามารถปรับแก้เพื่อให้ได้ความหนาของกระดูก, มุมองศา (Valgus-Varus) รวมถึงมุมก้มเงย (Flexion-Extension) ที่ถูกต้องก่อนที่จะตัดกระดูกจริง
Clinical Results of Computer-Assisted Total Knee Arthroplasty
ความนิยมในการผ่าตัด CAS-TKA ทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่การเปลี่ยนแปลงการผ่าตัดจาก standard technique มาเป็น CAS ไม่ได้ง่ายสำหรับแพทย์ส่วนใหญ่ การเสียเวลาในการผ่าตัดและต้องมี learning curve ทำให้แพทย์ส่วนใหญ่ล้มเลิกการผ่าตัดวิธีนี้ ในงานประชุม American Academy of Orthopaedic Surgeons 2007 มีการนำเสนอผลงาน (free paper ) ที่เป็น prospective, randomized study เรื่อง “Alignment and orientation of total knee components with and without navigation support” โดย Young-Hoo Kim19 สรุปว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการใช้หรือไม่ใช้ navigation ในเรื่องของ post-operative limb alignment, position of components, pain scores, range of motion, blood loss, KSS scores และ functional scores แต่การใช้ navigation เพิ่ม operative time อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ published paper ส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้สรุปว่าการใช้ navigation เพิ่ม accuracy ของ bone cut โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน frontal alignment, ลด “outlier”8-13, ลด blood loss14 และ ลดโอกาสเกิด fat embolism15-16
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2549 ถึง พฤษภาคม 2550 ทำผ่าตัดในผู้ป่วยไปแล้ว 71 เข่า โดยเป็นการผ่าตัดข้อเข่าเทียมแบบเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยร่วมกับการใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง (Minimally Invasive Surgery-Computer Assisted Total Knee Arthroplasty; MIS-CAS-TKA) ด้วย Electromagnetic Navigation พบว่า ขนาดแผลผ่าตัดเฉลี่ย 8.5 เซนติเมตร, การวางตำแหน่งข้อเทียมผิดพลาดที่ทำให้แกนขาผิดไปจากปกติมากกว่า 3 องศา (alignment> 3 degree from mechanical axis) 3.3%, เสียเลือดจาก drain เฉลี่ย 355 ซีซี (180-560 ซีซี), ผู้ป่วยลุกเดินวันแรกหลังผ่าตัด 98%, ระยะเวลาในการผ่าตัดนานขึ้นเฉลี่ย 15 นาทีจากขั้นตอนของการผ่าตัดวิธีใหม่ที่มากขึ้น, ไม่พบว่ามีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหลังผ่าตัด

cell-content วิธีมาตรฐานดั้งเดิม วิธีเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง
ความแม่นยำ น้อยกว่า มากกว่า
ขนาดแผลผ่าตัด 13-20 เซนติเมตร 8-10 เซนติเมตร
ปริมาณการเสียเลือด 400-800 ซีซี 100-400 ซีซี
ระยะเวลาที่เจ็บปวด มากกว่า น้อยกว่า
ระยะเวลาที่เริ่มเดิน 4-7 วันหลังผ่าตัด 1-2 วันหลังผ่าตัด
ระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาล 7-14วันหลังผ่าตัด 3-7 วันหลังผ่าตัด
ระยะเวลาในการผ่าตัด 1-2 ชั่วโมง นานขึ้นประมาณ15-20 นาที
ค่าใช้จ่าย ต่ำกว่า สูงกว่า

หมายเหตุ:

  • อ้างอิงจากแนวทางการให้การดูแลผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมวิธีมาตรฐานดั้งเดิมในโรงพยาบาลวชิรพยาบาล

**อ้างอิงจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ทำผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมผู้ป่วยในโรงพยาบาลวชิรพยาบาล
ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบโดยสังเขปของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยวิธีมาตรฐานดั้งเดิมกับวิธีเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง

flickr:5634293604
flickr:5633711999
flickr:5633712029

ภาพที่ 4 แสดงขนาดของแผลผ่าตัดและภาพเอกซเรย์หลังผ่าตัดของผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง (MIS-CAS-TKA)
Conclusion
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่องเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ เมื่อผสานกับการผ่าตัดข้อเข่าเทียมแบบเนื่อเยื่อบาดเจ็บน้อย เกิดเป็นการผ่าตัดข้อเข่าเทียมแบบเนื่อเยื่อบาดเจ็บน้อยโดยใช้คอมพิวเตอร์นำร่อง (Minimally Invasive Surgery-Computer Assisted Total Knee Arthroplasty; MIS-CAS-TKA) ทำให้เกิดพัฒนาการทางการผ่าตัดข้อเข่าเทียมที่เป็นความก้าวหน้าในทางการแพทย์สาขาออร์โธปิดิกส์อีกมิติหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อผู้ป่วยอย่างเด่นชัดในปัจจุบัน ในอนาคตเมื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ที่ดีมากขึ้น จะทำให้ผลการผ่าตัดของแพทย์ดียิ่งขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและคงหลีกพ้นเทคโนโลยีการทำผ่าตัดด้วยวิธีนี้ได้ยาก
Ref :http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=478&contentID=125601